มีหนึ่งในงานวิจัยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ที่อาจจะมีผลดีกับมนุษย์ และโลกในอนาคต เกี่ยวับอาหารทดแทนอย่างเช่น แมลง ที่อาจจะถูกดัดแปลงให้มาเป็นแหล่งอาหาร แหล่งพลังงานหลักสำหรับหมนุษย์ในอนาคต ซึ่งต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีองค์กรใหญ่ๆ มากมายยังคงให้ความสำคัญ และวิจัยเรื่องราวเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ เพราะเมื่อทรัพยากรโลกขนาดแคลนลง แมลงนี่แหละที่อาจจะเป็นหนึ่งในทางออกที่ดีที่สุด ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้นั่นเอง
เพราะในแมลงหลายๆ ชนิด ถูกค้นพบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง แถมยังให้โปรตีนในจำนวนที่เยอะมาก มีการเจริบเติบโตที่รวดเร็ว ที่สำคัญยังใช้พื้นที่ในการดูแลน้อย จึงทำให้ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา นักวิจัยเริ่มหันมาให้ความสนใจ และความสำคัญในการวิจัยเกี่ยวกับแมลงกันมากขึ้น ยกตัวอย่างงานวิจัยล่าสุดที่เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากนมวัว นมอัลมอนด์ และนมถั่วเหลือง ที่ถือว่าให้คุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ยังมีอีกหนึ่งชนิดที่ถูกค้นพบ และเชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะนึกไม่ถึงเลยนั่นก็คือ นมแมลงสาบ ที่งานวิจัยในครั้งนี้ได้ออกมาบอกว่ามีคุณค่าทางโภชนาการที่มากกว่านมวัวถึง 4 เท่า
เพราะในน้ำนมของแมลงสาบจะอุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่มีความจำเป็นต่องร่างกายครบทั้ง 9 ชนิด ซึ่งแตกต่างจากเนื้อสัตว์ทั่วๆ ไปที่เรารับประทานกันอยู่ในทุกวันนี้ ที่มักจะขาดกรดอะมิโนชนิดใดชนิดหนึ่งไปเสทอ ซึ่งยังไม่ได้นับรวมถึงคุณสมบัติของนมแมลงสาบในเรื่องการให้โปรตีนสูง มีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เหล็ก สังกะสี และแคลเซียม ซึ่งยังพบว่ายังมีไขมัน และน้ำตาลที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แถมยังมีรสชาติที่อร่อยไม่ต่างจากนมวัวอีกด้วย
ในปัจจุบันมีบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศแอฟริกา ที่กำลังทำฟาร์มแมลงสาบอย่างจริงจัง เพื่อผลิตน้ำนมที่ชื่อว่า Entomilk ซึ่งนมชนิดดังกล่าวได้มาจากผลึกในลำไส้ของแมลงสาบพันธุ์ออสเตรเลีบแปซิฟิก ซึ่งการจะได้นมแมลงสาบในแต่ละขวดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะจะต้องใช้แมลงสาบตัวเมีย และตัวอ่อนของมันที่มากถึง 1,000 ตัวโดยประมาณ จำนวนที่มากขนาดนี้จะสามารถผลิตนมแมลงสาปออกมาได้ในปริมาณ 3.5 ออนซ์ หรือประมาณ 100 กรัมเพียงเท่านั้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะกับแมลงที่หลายคนขาดไม่ถึงอย่างแมลงสาบ
ซึ่งต้องบอกอีกว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น เพราะในปัจจุบันได้มีงานวิจัยออกมาว่านมแมลงสาบยังสามารถเป็นหนึ่งในทางเลือกของคนที่แก้แลคโตส หรือแพ้นม ซึ่งเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบที่มากถึง 65% ของจำนวนประชากรทั่วโลก ถ้าหากไม่ได้มองถึงความคุ้นชิน และที่มาที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ต้องถือว่านี่อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีอีกหนึ่งตัวเลือก ซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าอนาคตที่จะถึงเราจะต้องนำเอามาอยู่ภายในชีวิตประจำวัน หรือจำเป็นต้องรับประทานเพื่อดำรงชีวิตหรือไม่ ก็ยังคงต้องติดตามกันอย่างต่อเนื่อง